
มาแล้วนะคับสำหรับ รีวิว ตัวใหม่ๆ อย่างเจ้าตัวนี้ ส่วนตัวผมนะ อยากได้มั๊กมั๊ก แต่ด้วยเหตุผลหลายประการ (ไม่มีเงิน - -) จึงทำให้ตเองใช้เจ้าตัวเก่าให้คุ้มค่าเสียก่อน อิอิ ว่าแล้วก็เริ่มเลยล่ะกันนะคับป๋ม ~
หลังจากที่มีข่าวคราวข่าวกันมาเนิ่นนานว่าจะมีกล้องที่เรียกได้ว่าเป็นทายาทของ Canon EOS30D ออกมา ซึ่งหลายกระแสก็เดากันไปต่างๆนานๆ ว่ามันจะมีประสิทธิภาพเป็นเช่นไร โดยในตอนนี้เราก็ได้รู้แล้วว่ากล้องตัวที่พูดถึงนั่นก็คือเจ้า 40D นั่นเอง และสำหรับในวันนี้ ที่ผมได้มีโอกาสสัมผัสกับ Canon EOS 40Dตัวเป็นๆเสียทีจึงอยากนำมันมารีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รู้ลึกไปถึงคุณสมบัติและประสิทธิภาพของมันอย่างเจาะลึกไปพร้อมๆกัน ว่ามันมีดีเช่นไรanon EOS 40D เป็นกล้องระดับโปรซูมเมอร์ที่มาพร้อมกับความละเอียด 10.1 ล้านพิกเซล (3888 x 2592 พิกเซล) ใช้ระบบเซ็นเซอร์ในแบบ CMOS ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่โดย Canon เอง มีขนาด APS-C คูณทางยาวโฟกัสเพิ่ม 1.6 เท่า ส่วนระบบประมวลผลนั้น 40D มีระบบประมวลผลแบบใหม่ที่มีชื่อว่า DIGIC III ซึ่งมาพร้อมกับเมมโมรี่ในรูปแบบ DDR SDRAM ใหม่ที่มีความเร็วสูง สามารถบันทึกข้อมูลได้ในแบบ 4 ช่องสัญญาณ ทำให้ตัวกล้องสามารถประมวลผลได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ 40D สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้ด้วยความเร็วสูงสุด 6.5 ภาพต่อวินาที และถ่ายต่อเนื่องติดต่อกันได้มากที่สุดในรูปแบบของไฟล์ JPEG (Large/Fine) อยู่ที่ 75 ภาพ ส่วนไฟล์ RAW อยู่ที่ 17 ภาพ และไฟล์ RAW+JPEG (Large/Fine) นั้นอยู่ที่ 14 ภาพ นอกไปจากนั้น Canon EOS 40D ยังมีคุณสมบัติในการโฟกัสที่รวดเร็วและแม่นยำ โดยมีจุดออโต้โฟกัสในแบบแนวกว้างรูปกากบาทหรือ Cross – type ถึง 9 จุด พร้อมทั้งยังมีจุดช่วยโฟกัส (รวมจุดโฟกัส 45 จุด) เลยทีเดียว

และสำหรับจอแอลซีดีของ Canon EOS 40D ก็ถือได้ว่าเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพราะด้วยขนาดที่ใหญ่ถึง 3 นิ้ว ความละเอียดอยู่ที่ 230,000 พิกเซล แถมยังเป็นในแบบ Live View ที่สามารถใช้ร่วมกับระบบออโต้โฟกัสได้ พร้อมทั้งยังมีโหมด Silent ให้ได้ใช้ถึง 2 โหมดด้วยกัน โดยในโหมดแรกจะลดเสียงของชัตเตอร์ลง และยังสามารถถ่ายภาพแบบต่อเนื่องได้ด้วยความเร็วต่ำ ส่วนโหมดที่สองนั้นจะเงียบที่สุด เพราะเมื่อกดชัตเตอร์ถ่ายรูปแล้วม่านชัตเตอร์จะไม่ดีดกลับทันที จนกว่าจะปล่อยปุ่มชัตเตอร์ จึงใช้ถ่ายได้ทีละภาพเท่านั้น ซึ่งโหมดเงียบนี้เหมาะกับการใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการความเงียบเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน เช่น ในห้องสมุด สถานที่ทางศาสนา พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ ห้องเรียน ห้องประชุม กองถ่าย การแข่งขันกีฬาบางประเภทที่ต้องการความเงียบ เป็นต้น ทั้งนี้ Live View ยังช่วยอำนวยความสะดวกในสถานการณ์ที่ต้องการควบคุมการถ่ายภาพผ่านทางคอมพิวเตอร์ทั้งการเชื่อมต่อแบบมีสายและไร้สายได้ดีอีกด้วย
นอกไปจากนั้น Canon EOS 40D ยังได้ปรับปรุงระบบกำจัดฝุ่นที่มีชื่อว่า EOS Integrated Cleaning System (EOS I.C.S) ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงช่วยให้ทำความสะอาดฝุ่นที่เกาะอยู่หน้าเลนส์ได้สะอาดหมดจด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การถ่ายภาพจะไม่มีฝุ่นที่ไม่พึงประสงค์มาบดบังรูปภาพที่สวยงามของคุณอีกต่อไป สุดท้ายกับอุปกรณ์เสริมของ Canon EOS 40D โดยตัวที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก นอกจากเลนส์ที่มีให้เลือกใช้ทุกช่วยแล้วนั่นก็คือ Battery Grip BG-E2N ซึ่งมันมีการซีลรอยต่อเพื่อป้องกันฝุ่นและละอองน้ำไว้ด้วย และอุปกรณ์อีกตัวที่น่าสนใจนั่นก็คือ Wireless File Transmitter WFT-E3 ซึ่งมีความสามารถในการโอนถ่ายข้อมูลภาพจากตัวกล้องไปยังคอมพิวเตอร์ได้ในแบบไร้สายนั่นเอง
จากการทดสอบ Canon EOS 40D มีความสามารถในการถ่ายภาพที่ดีเยี่ยมเลยเลยทีเดียว ด้วยความละเอียดที่มีถึง 10.1 ล้านพิกเซล (3888 x 2592 พิกเซล) จึงช่วยให้สามารถนำภาพที่ถ่ายได้ไปพิมพ์กับกระดาษขนาด A4 ได้อย่างไม่มีปัญหาแต่อย่างใด รวมไปถึงยังสามารถนำไปใช้กับงานประเภทกราฟิกได้ดีอีกด้วย ส่วนระบบออโต้โฟกัสที่มีจุดออโต้โฟกัสในแบบแนวกว้างรูปกากบาทหรือ Cross – type ถึง 9 จุดนั้น ก็ช่วยในการถ่ายภาพอย่างมาก โดยมันสามารถทำงานได้ในสภาวะที่มีแสงน้อยระดับ f/ 5.6 และโดยสำหรับที่จุดกลางภาพ จะมีความไวในการทำงานสูงถึงระดับ f/ 2.8 ทั้งในแนวตั้งและแนวนอน จึงทำให้การโฟกัสมีความแม่นยำเป็นอย่างยิ่ง โอกาสที่จะถ่ายภาพแล้วหลุดโฟกัสจะเกิดขึ้นได้น้อยมากๆ ทั้งนี้ 40D ยังมีการโฟกัสที่รวดเร็วเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
พอพูดถึงความรวดเร็วแล้วเจ้ากล้องตัวนี้ ก็มีให้พูดถึงอย่างเหลือเฝือเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นตอนเปิดเครื่องครั้งแรกนั้น มันใช้เวลาแค่เพียง 0.15 วินาทีในการเปิดกล้องพร้อมใช้งาน และด้วยระบบประมวลผลแบบใหม่ที่มีชื่อว่า DIGIC III ซึ่งมาพร้อมกับเมมโมรี่ในรูปแบบ DDR SDRAM ที่สามารถบันทึกข้อมูลได้ในแบบ 4 ช่องสัญญาณ ก็ช่วยให้การถ่ายภาพตลอดจนการประมวลผลภาพต่างๆมีความคล่องแคล่วว่องไวสมบูรณ์แบบค่อนข้างมาก และสำหรับการทดสอบถ่ายภาพต่อเนื่องนั้น เจ้า Canon EOS 40D ก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็วเลยทีเดียว โดยภาพที่ถ่ายออกมานั้น ถ้าเอามาเปิดดูแบบเรียงต่อกันเร็วๆ จะเห็นว่ามันแทบจะใกล้เคียงกับภาพที่ถ่ายในแบบวิดีโออย่างใดอย่างนั้น และสำหรับการถ่ายภาพในตอนที่มีแสงน้อยนั้น Canon EOS 40D สามารถใช้ค่าความไวแสงได้สูงสุดถึง ISO 3200 โดยไม่พบ Noise แต่อย่างใด และภาพที่ได้ออกมาก็มีความสมบูรณ์อยู่ค่อนข้างมาก ที่เป็นอย่างนี้เพราะทาง Canon เองได้บรรจุเอาระบบลด Noise แบบ On-Chip Noise Reduction เอาไว้ในตัวเครื่อง จึงทำให้อาการ Noise พบได้ยากยิ่งในตัว 40D
ส่วนจอภาพแอลซีดี TFT ที่เป็นแบบ Live View ก็ทำให้การถ่ายภาพมีความสะดวกเป็นอย่างมากในสถานการณ์ที่ไม่สามารถใช้ช่องมองภาพเพื่อถ่ายภาพได้ โดยส่วนตัวได้นำไปทดสอบกับการถ่ายภาพในตอนที่มีงานแถลงข่าว ซึ่งจะถ่ายภาพลำบากอย่างมาก ถ้าใช้การมองจากช่องมองภาพในการถ่ายภาพ เพราะจะมีนักข่าวมากมายแย่งกันถ่ายภาพ จนหัวบังไปหมด ซึ่งถ้าเราตัวสูงประมาณ 200 ซม. ขึ้นไปก็คงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่ถ้าเราตัวไม่สูงขนาดนั้นจอภาพแอลซีดีที่เป็นในแบบ Live View ก็ช่วยแก้ปัญหานี้ไปได้เยอะทีเดียว แค่เพียงเปิดการใช้งานในโหมดนี้ แล้วยกตัวกล้องขึ้นเหนือศีรษะก็สามารถมองเห็นตัวแบบที่ต้องการจะถ่ายผ่านทางจอแอลซีดีได้อย่างพอดี เท่าที่ทดสอบโหมดการใช้งานหน้าจอแอลซีดีในแบบ Live View นี้ก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเราเป็นอย่างมาก แต่ดูแล้วยังค่อนข้างหน่วงไปสักนิด ถ้ามันตอบสนองได้รวดเร็วกว่านี้ก็คงจะยอดเยี่ยมไปเลย และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพในไฟล์ Raw ก็ต้องมาฟังทางนี้ เพราะเจ้า 40D มีความสามารถในการถ่ายภาพได้ในรูปแบบของไฟล์ที่มีชื่อว่า “sRaw” ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนกับไฟล์ Raw แต่มีขนาดที่เล็กลงถึงครึ่งหนึ่ง ช่วยให้ประหยัดเนื้อที่ในการบันทึกข้อมูลไปได้เยอะมากเลยทีเดียว
คุณภาพไฟล์ยอดเยี่ยมขึ้น
ใน EOS 40D แคนนอนใช้เซ็นเซอร์รับภาพแบบ CMOS ขนาด APS-C ที่ต้องคูณทางยาวโฟกัสอีก 1.6 เท่าเช่นเดิม แต่เป็นเซ็นเซอร์ CMOS ที่ได้รับการออกแบบมาใหม่ ให้คุณภาพสูงกว่า มีความละเอียดของภาพแสดงผลที่ 10.1 ล้านพิกเซล (3888x2592 พิกเซล) สามารถนำไปใช้ในงานพิมพ์ที่ต้องการความละเอียดสูงแบบปูเต็มหน้า A4 ได้อย่างเหลือเฟือ ให้ความลึกสีสูงถึง 14 บิท จึงเก็บรายละเอียดต่างๆ และไล่โทนสีได้อย่างละเอียดและนุ่มนวล แสดงเฉดสีได้ครบถ้วนสมบูรณ์ อีกทั้งยังมีการติดไมโครเลนส์ไว้ที่หน้าเซ็นเซอร์ เพื่อช่วยให้เก็บรายละเอียดได้ดียิ่งขึ้น และให้ค่าไดนามิคเรนจ์กว้างด้วยการเพิ่มฟังก์ชั่น Highlight Tone Priority การเก็บรายละเอียดในส่วนสว่างอย่างเช่นเสื้อผ้าสีขาวนั้น จึงทำได้ดีกว่าเดิมมาก ไม่เสียรายละเอียดไปทั้งหมด แต่จะเลือกใช้ค่า ISO 100 ไม่ได้
EOS 40D ให้คุณภาพที่ดีเยี่ยมเมื่อต้องใช้งานในที่แสงน้อย สามารถตั้งค่าความไวแสงได้ตั้งแต่ ISO 100-1600 เป็นมาตรฐาน และสามารถบูสท์ไปที่ H ได้ในคัสตอมฟังก์ชั่นที่ 1-3 ซึ่งจะเทียบเท่า ISO 3200 ทั้งยังมี ISO AUTO ที่กล้องจะเลือกใช้ในช่วง ISO 100-800 เพื่อให้ได้ความเร็วชัตเตอร์ที่เพียงพอ นอกจากนี้แคนนอนยังได้ติดตั้งระบบลด Noise แบบ On-Chip Noise Reduction ก่อนจะส่งผ่านข้อมูลไปยังระบบประมวลผล ทำให้การใช้งานที่ความไวแสงสูง รวมทั้งการเปิดชัตเตอร์เป็นเวลานาน มี Noise น้อยกว่าเดิมมาก
ระบบประมวลผลใหม่ DiGiC III กับฟอร์แมตภาพที่หลากหลาย
แคนนอนใช้ระบบประมวลผลที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด DiGiC III อันเป็นอัลกอลิธึมที่ซับซ้อน ในการจัดการกับข้อมูลภาพที่มีจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว โดยทำให้ EOS 40D สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงสุดที่ 6.5 เฟรมต่อวินาทีเลยทีเดียว ซึ่งภาพทั้งหมดยังคงได้คุณภาพที่ดีเยี่ยมในทุกๆ ด้านเฉกเช่นเดียวกับกล้องระดับโปร นอกจากความเร็วถ่ายภาพต่อเนื่องแล้ว ระบบการทำงานต่างๆ ยังคงรวดเร็วขึ้นด้วย และช่วยให้ประหยัดพลังงานได้อย่างยอดเยี่ยม ไฟล์ฟอร์แมตของ EOS 40D มีความยืดหยุ่นสูงมาก โดยแคนนอนได้เพิ่มไฟล์ฟอร์แมต sRAW (1936x1288 พิกเซล หรือ 2.5 ล้านพิกเซล) ใหม่เข้าไป ซึ่งออกแบบมาให้ผู้ใช้ที่ต้องการคุณภาพระดับสูง แต่ไม่ต้องการไฟล์ภาพขนาดใหญ่ไว้เป็นตัวเลือก ซึ่งจะส่งผลถึงความเร็วในการทำงานของกล้องที่เร็วขึ้น ถ่ายภาพได้มากขึ้น รวมไปถึงขั้นตอนการโปรเซสภาพในภายหลัง ที่จะทำได้รวดเร็วขึ้นกว่าไฟล์ RAW แบบเต็มความละเอียด นอกจากนี้ยังสามารถเลือกแบบ sRAW+JPEG กับไฟล์ JPEG ทุกขนาดได้ ทำให้ไฟล์ฟอร์แมตของ EOS 40D สามารถเลือกได้ถึง 20 แบบด้วยกันเลยทีเดียว
เพิ่มประสิทธิภาพเรื่องความเร็ว
แคนนอนปรับปรุงความเร็วในการทำงานให้ กับ EOS 40D เป็นอย่างมาก โดยได้เพิ่มความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่องขึ้นเป็น 6.5 เฟรมต่อวินาที (EOS 30D ทำได้ 5 เฟรมต่อวินาที) ซึ่งถือได้ว่าเร็วที่สุดในกล้องระดับเดียวกัน และเป็นรองกล้องระดับโปรซีรี่ส์ EOS-1D เท่านั้น อีกทั้งยังสามารถถ่ายภาพต่อเนื่องรวดเดียวได้มากถึง 75 ภาพกับไฟล์แบบ JPEG และ 17 ภาพแบบ RAW หรือ RAW+JPEG ก็ยังทำได้ถึง 14 ภาพเลยทีเดียว ทำให้ไม่พลาดช็อตสำคัญไป ด้านความเร็วในการโฟกัส EOS 40D ได้ถูกพัฒนาให้มีขีดความสามารถสูงมากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ระบบออโตโฟกัสใหม่ที่มีจุดโฟกัส 9 จุด ทั้งหมดเป็นเซ็นเซอร์แบบกากบาทหรือ Cross-type ที่ทำงานได้ในสภาพแสงน้อยระดับ f/5.6 และโดยเฉพาะที่จุดกลางภาพ จะมีความไวในการทำงานสูงถึงระดับ f/2.8 ทั้งในแนวตั้งและแนวนอน ทำให้กล้องสามารถโฟกัสได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้นกว่าเดิมมาก
ระบบ Live View ใหม่พร้อมออโตโฟกัส
ระบบการเห็นภาพก่อนถ่ายด้วยจอ LCD ที่ด้านหลังกล้องเช่นเดียวกับกล้องคอมแพค หรือที่นิยมเรียกกันว่า Live View นั้น ดูจะกลายเป็นกระแสนิยมไปแล้ว และแคนนอนเองก็เคยใส่ระบบนี้ไว้ในกล้องระดับโปรอย่าง EOS-1D Mark III เป็นตัวแรกมาแล้วด้วย แต่ Live View ใหม่ใน EOS 40D มีความก้าวหน้าและเหนือกว่าที่ใช้ใน EOS-1D Mark III ไปมาก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและการทำงานที่ดียิ่งขึ้น
EOS 40D ใช้จอ LCD ขนาดใหญ่ 3.0 นิ้ว การเปิดใช้ Live View จึงมองภาพที่แสดงผลในแบบ Real Time ได้อย่างชัดเจนเต็มตา ทั้งยังแสดงภาพได้ 100% การโฟกัสภาพจึงยิ่งเห็นผลได้ง่าย สามารถซูมขยายภาพเพื่อการโฟกัสที่แม่นยำยิ่งขึ้นได้ 2 สเตปที่ 5 และ 10 เท่า ช่วยลดความผิดพลาดจากการโฟกัสได้มากขึ้น เพียงเท่านี้ก็อาจจะรู้สึกว่าไม่ต่างอะไรกับ Live View ใน EOS-1D Mark III แต่เสียงตอบรับกลับมาคือไม่สามารถใช้ระบบออโตโฟกัสได้ จึงขาดความคล่องตัว แคนนอนจึงปรับปรุง Live View ของ EOS 40D ให้สามารถออโตโฟกัสได้แล้ว โดยใช้ปุ่ม AF-ON ที่อยู่มุมขวาบนที่ด้านหลังกล้องเป็นปุ่มโฟกัส แต่ก็จะไม่สามารถเห็นภาพขณะที่กำลังออโตโฟกัสได้ จึงต้องฟังเสียงเตือนโฟกัสชัดว่าภาพชัดหรือยัง เมื่อปล่อยปุ่ม AF-ON ภาพก็จะกลับมาอีกครั้ง
ส่วนด้านการแสดงผล หากเป็นค่ามาตรฐานจากโรงงานไม่เพียงแค่แสดงภาพ, พิกเจอร์สไตล์ที่ใช้, ปริมาณแบตเตอรี่ และมีข้อมูลการถ่ายภาพที่ใต้ภาพเท่านั้น แต่ยังเลือกให้ EOS 40D แสดงเส้นตารางกริดได้อีกด้วย เพื่อช่วยให้การวางภาพไม่เอียง และได้โพสิชั่นของภาพที่สวยงาม นอกจากนี้ยังแสดงผลจากการปรับตั้งค่าการถ่ายภาพได้ด้วย ทั้งค่าความสว่างหรือค่าไวท์บาลานซ์ของภาพ ว่าถูกต้องสมจริงหรือไม่อย่างไร โดยต้องเข้าไปตั้งค่าคัสตอมฟังก์ชั่นที่ 4-7 Live View Exposure Simulation เป็น Enable เสียก่อน นอกจากนี้ก็ยังสามารถใช้ฟังก์ชั่น Remote Live View ได้ คือสามารถจะควบคุมกล้องผ่านคอมพิวเตอร์ด้วยซอฟท์แวร์ EOS Utility ไม่ว่าจะเชื่อมต่อด้วยสาย USB หรือระบบ Wireless ก็จะสามารถเห็นภาพก่อนถ่ายเป็นแบบ Real time ได้เช่นกัน จึงเห็นภาพได้ใหญ่ยิ่งขึ้นด้วยจอของคอมพิวเตอร์ การตรวจสอบโฟกัสและการจัดวางคอมโพสิชั่นภาพจึงทำได้สะดวกและดียิ่งขึ้น
สิ่งพิเศษอีกอย่างของ Live View ใน EOS 40D ก็คือมีโหมดเงียบ (Silent Shooting Mode) ให้ใช้ได้ 2 โหมดด้วยกัน โดยโหมดแรกจะลดเสียงของชัตเตอร์ลง และยังสามารถถ่ายภาพแบบต่อเนื่องได้ด้วยความเร็วต่ำ โหมดที่สองจะเงียบที่สุด เพราะเมื่อกดชัตเตอร์ถ่ายรูปแล้วม่านชัตเตอร์จะไม่ดีดกลับทันที จนกว่าจะปล่อยปุ่มชัตเตอร์ จึงใช้ถ่ายได้ทีละภาพเท่านั้น ซึ่งโหมดเงียบนี้เหมาะกับการใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการความเงียบเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน เช่น ในพิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด กองถ่าย สถานที่วิปัสสนา การแข่งขันกีฬาบางประเภท เป็นต้น และการใช้ระบบ Live View ใน EOS 40D จะทำให้ค่า Time Lag ของชัตเตอร์ลดลงอีกด้วย
บอดี้ที่ยอดเยี่ยม
EOS 40D จัดว่าเป็นกล้องที่อยู่ในระดับ Advanced Amatuer ที่นอกจากจะต้องมีประสิทธิภาพการทำงานในขั้นสูงแล้ว ตัวของบอดี้กล้องยังถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างสมบุกสมบัน โดยตัวบอดี้ขึ้นรูปด้วยโลหะแบบแมกนีเซียมอัลลอยด์ทั้งชิ้น และใช้สแตนเลสในการผลิตเฟรมภายในตัวกล้อง จึงเชื่อได้ในเรื่องความแข็งแรงทนทาน ขนาดตัวกล้องใหญ่ขึ้นกว่าเดิมแต่ก็ให้การจับถือที่ดีกว่า ด้วยการทำช่องนิ้วไว้ให้บนสันกริปด้วย
ม่านชัตเตอร์ของ EOS 40D ถูกทดสอบมาแล้วกว่า 100,000 ครั้ง ว่ายังสามารถทำงานได้อย่างแม่นยำและมีความถูกต้อง ส่วนช่องมองภาพถูกออกแบบมาใหม่ มองเห็นภาพได้ 95% ให้อัตราขยาย 0.95x จึงมองเห็นได้ใหญ่โตชัดเจน มองได้กว้างถึง 26.4 องศา โดยมีระยะ Eye-Point 22 มม.
จอ LCD ของกล้องรุ่นนี้ขยายขึ้นมาเป็น 3.0 นิ้ว จึงมองภาพได้อย่างชัดเจน ใหญ่โตเต็มตา โดยมีความละเอียด 230,000 พิกเซล มีองศาการมองภาพกว้าง 140 องศาจากทุกมุมมอง และสามารถปรับค่าความสว่างของหน้าจอได้ 7 ระดับ เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในสภาพแสงต่างๆ ด้วย
EOS Integrated Cleaning System
หลังจากที่แคนนอนได้เพิ่มระบบกำจัดฝุ่น ที่อาจเกาะที่หน้าระนาบเซ็นเซอร์เข้ามาในกล้องรุ่น EOS 400D เป็นต้นมา ก็กลายเป็นระบบที่ขาดไปไม่ได้เสียแล้ว และใน EOS 40D ก็เช่นกัน ด้วยการติดตั้งชุดที่ใช้เขย่าชั้นฟิลเตอร์ที่หน้าเซ็นเซอร์ ด้วยความเร็วสูงระดับอุลตร้าโซนิค ซึ่งจะทำงานทั้งตอนที่เปิดหรือปิดกล้องโดยอัตโนมัติหรือจะสั่งเองแบบแมนนวลก็ได้ หากยังมีฝุ่นเกาะอยู่ ระบบภายในของ EOS 40D จะตรวจสอบว่าจุดด่างดำที่อยู่บนภาพเกิดจากฝุ่นหรือไม่ หากใช่ก็จะลบจุดด่างดำดังกล่าวได้ด้วยระบบ Dust Delete Function ในโปรแกรม DPP ของแคนนอนเองได้อย่างอัตโนมัติ ภาพที่ได้จึงใสเคลียร์อยู่เสมอ
การออกแบบ : รูปลักษณ์ภายนอกของ EOS 40D ดูเผินๆ แล้วก็แทบจะไม่ได้แตกต่างจาก EOS 30D เท่าใดนัก จุดแตกต่างที่จะสังเกตได้ชัดคือบริเวณของกะโหลกกล้องที่ดูหนาขึ้นและตัดมุมเล็กน้อย ทำให้ดูสวยขึ้นมากแม้จะเป็นการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยก็ตาม แป้นปรับโหมดใหญ่ขึ้น ฐานฮอทชูแฟลชยกสูงขึ้น และจอ LCD ที่ใหญ่โตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ด้านหน้า : แคนนอนยังคงความโค้งมนของบอดี้ไว้เช่นเคย ขนาดตัวกล้องกำลังดี ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป สันกริปตัดชันหุ้มด้วยยางลายหยาบ และทำร่องนิ้วไว้ให้ด้วย จึงจับถือได้อย่างถัดมือ วางตำแหน่งของปุ่มชัตเตอร์บนฐานที่ทำสโลปตัดลงอีกเล็กน้อย กดได้สะดวกยิ่งขึ้น ตรงกะโหลกกล้องออกแบบให้ตรงกลางส่วนล่างโค้งลงเล็กน้อย ทำให้ดูหนาขึ้นและทำการปาดมุมทางด้านบนทั้ง 2 มุม ทำให้ดูสวย ไม่เรียบมนไปทั้งหมดเสียทีเดียว แผ่นป้ายบอกชื่อรุ่น EOS 40D ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย และปุ่มปลดล็อกเลนส์ออกแบบทรงใหม่ด้วย
ด้านบน : แคนนอนยังคงวางเลย์เอาท์ของปุ่มกดไว้เช่นเดิม แต่มีการเปลี่ยนการทำงานของปุ่มเสียใหม่ โดยปุ่มกด 4 ปุ่มที่เรียงกันเหนือจอ LCD นั้น ปุ่มซ้ายสุดยังเป็นปุ่มเปิดไฟดูข้อมูลเช่นเดิม ถัดมาเป็นปุ่มเลือกระบบวัดแสงและไวท์บาลานซ์ (เดิมเป็นระบบออโตโฟกัสกับไวท์บาลานซ์) ปุ่มที่สามเป็นปุ่มเลือกระบบออโตโฟกัสและระบบเลื่อนภาพ (เดิมเป็นระบบเลื่อนภาพกับความไวแสง) ปุ่มขวาสุดใช้เลือกความไวแสงและชดเชยแสงแฟลช (เดิมเป็นระบบวัดแสงและชดเชยแสงแฟลช) การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่ได้ทำให้การใช้งานสับสนแต่อย่างใด ยังคงใช้งานได้รวดเร็วตามปกติเช่นเดิม
จอ LCD เล็กนี้ เพิ่มการแสดงความไวแสงไว้ด้วยนอกเหนือจากการปรับเลย์เอาท์เล็กน้อย ตรงบริเวณฐานของฮอทชูแฟลช แคนนอนทำฐานขึ้นโดยรอบทั้งด้านหน้า ซ้ายและขวา เพื่อรองรับการใช้งานร่วมกับแฟลช Speedlite 580EX II ที่จะครอบฐานแฟลชเพื่อกันละอองน้ำนั่นเอง และทางซ้ายสุดเป็นแป้นเลือกโหมดถ่ายภาพที่ดูมีขนาดใหญ่และสวยขึ้น ทั้งยังได้เพิ่มโหมดถ่ายภาพแบบคัสตอมให้อีก 3 ช่อง (C1, C2, C3) เพื่อใช้ตั้งระบบล่วงหน้าให้เป็นแบบเฉพาะตัวนั่นเอง
ด้านข้าง : ทางฝั่งซ้ายเป็นช่องอินเตอร์เฟสต่างๆ วางเรียงบน 2 แถว แถวซ้ายด้านบนเป็นช่องเสียบสายซิงค์แฟลช ส่วนช่องล่างเป็นช่องเสียบรีโมต แถวขวาด้านบนเป็นช่อง VIDEO OUT และด้านล่างเป็นช่องเสียบสาย USB ทั้งหมดปิดด้วยแผ่นยางที่เปิดแยกกันได้ จึงใช้สะดวกไม่เกะกะ ส่วนฝั่งขวาเป็นบานพับเปิดปิดช่องใส่เมมโมรี่การ์ดที่แข็งแรงเช่นเดิม ใช้การ์ดแบบ CF ทั้ง Type I และ Type II
ความคิดเห็น : หากถามผมว่านี่ใช่กล้องที่รอคอยการมาถึงใช่หรือไม่ ..ผมคงตอบว่าไม่หากดูที่ความละเอียดของภาพเพียงอย่างเดียว แต่หากดูรวมๆ ถึงคุณภาพของภาพที่ทำได้ เทคโนโลยี ระบบการทำงานภายใน บอดี้ภายนอก และรวมถึงราคาจัดจำหน่าย คงต้องบอกว่าแคนนอนไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ และนี่ก็ถือว่าเป็นกล้อง DSLR ที่คุ้มค่าและน่าใช้มากๆ รุ่นหนึ่ง จัดอยู่ในระดับ Recommended ได้เลยครับ อุอุ