วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2551

รีวิวของใหม่ canon eos 40D

มาแล้วนะคับสำหรับ รีวิว ตัวใหม่ๆ อย่างเจ้าตัวนี้ ส่วนตัวผมนะ อยากได้มั๊กมั๊ก แต่ด้วยเหตุผลหลายประการ (ไม่มีเงิน - -) จึงทำให้ตเองใช้เจ้าตัวเก่าให้คุ้มค่าเสียก่อน อิอิ ว่าแล้วก็เริ่มเลยล่ะกันนะคับป๋ม ~

หลังจากที่มีข่าวคราวข่าวกันมาเนิ่นนานว่าจะมีกล้องที่เรียกได้ว่าเป็นทายาทของ Canon EOS30D ออกมา ซึ่งหลายกระแสก็เดากันไปต่างๆนานๆ ว่ามันจะมีประสิทธิภาพเป็นเช่นไร โดยในตอนนี้เราก็ได้รู้แล้วว่ากล้องตัวที่พูดถึงนั่นก็คือเจ้า 40D นั่นเอง และสำหรับในวันนี้ ที่ผมได้มีโอกาสสัมผัสกับ Canon EOS 40Dตัวเป็นๆเสียทีจึงอยากนำมันมารีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รู้ลึกไปถึงคุณสมบัติและประสิทธิภาพของมันอย่างเจาะลึกไปพร้อมๆกัน ว่ามันมีดีเช่นไรCanon EOS 40D เป็นกล้องระดับโปรซูมเมอร์ที่มาพร้อมกับความละเอียด 10.1 ล้านพิกเซล (3888 x 2592 พิกเซล) ใช้ระบบเซ็นเซอร์ในแบบ CMOS ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่โดย Canon เอง มีขนาด APS-C คูณทางยาวโฟกัสเพิ่ม 1.6 เท่า ส่วนระบบประมวลผลนั้น 40D มีระบบประมวลผลแบบใหม่ที่มีชื่อว่า DIGIC III ซึ่งมาพร้อมกับเมมโมรี่ในรูปแบบ DDR SDRAM ใหม่ที่มีความเร็วสูง สามารถบันทึกข้อมูลได้ในแบบ 4 ช่องสัญญาณ ทำให้ตัวกล้องสามารถประมวลผลได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ 40D สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้ด้วยความเร็วสูงสุด 6.5 ภาพต่อวินาที และถ่ายต่อเนื่องติดต่อกันได้มากที่สุดในรูปแบบของไฟล JPEG (Large/Fine) อยู่ที่ 75 ภาพ ส่วนไฟล์ RAW อยู่ที่ 17 ภาพ และไฟล์ RAW+JPEG (Large/Fine) นั้นอยู่ที่ 14 ภาพ นอกไปจากนั้น Canon EOS 40D ยังมีคุณสมบัติในการโฟกัสที่รวดเร็วและแม่นยำ โดยมีจุดออโต้โฟกัสในแบบแนวกว้างรูปกากบาทหรือ Cross – type ถึง 9 จุด พร้อมทั้งยังมีจุดช่วยโฟกัส (รวมจุดโฟกัส 45 จุด) เลยทีเดียว

และสำหรับจอแอลซีดีของ Canon EOS 40D ก็ถือได้ว่าเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพราะด้วยขนาดที่ใหญ่ถึง 3 นิ้ว ความละเอียดอยู่ที่ 230,000 พิกเซล แถมยังเป็นในแบบ Live View ที่สามารถใช้ร่วมกับระบบออโต้โฟกัสได้ พร้อมทั้งยังมีโหมด Silent ให้ได้ใช้ถึง 2 โหมดด้วยกัน โดยในโหมดแรกจะลดเสียงของชัตเตอร์ลง และยังสามารถถ่ายภาพแบบต่อเนื่องได้ด้วยความเร็วต่ำ ส่วนโหมดที่สองนั้นจะเงียบที่สุด เพราะเมื่อกดชัตเตอร์ถ่ายรูปแล้วม่านชัตเตอร์จะไม่ดีดกลับทันที จนกว่าจะปล่อยปุ่มชัตเตอร์ จึงใช้ถ่ายได้ทีละภาพเท่านั้น ซึ่งโหมดเงียบนี้เหมาะกับการใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการความเงียบเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน เช่น ในห้องสมุด สถานที่ทางศาสนา พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ ห้องเรียน ห้องประชุม กองถ่าย การแข่งขันกีฬาบางประเภทที่ต้องการความเงียบ เป็นต้น ทั้งนี้ Live View ยังช่วยอำนวยความสะดวกในสถานการณ์ที่ต้องการควบคุมการถ่ายภาพผ่านทางคอมพิวเตอร์ทั้งการเชื่อมต่อแบบมีสายและไร้สายได้ดีอีกด้วย


นอกไปจากนั้น Canon EOS 40D ยังได้ปรับปรุงระบบกำจัดฝุ่นที่มีชื่อว่า EOS Integrated Cleaning System (EOS I.C.S) ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงช่วยให้ทำความสะอาดฝุ่นที่เกาะอยู่หน้าเลนส์ได้สะอาดหมดจด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การถ่ายภาพจะไม่มีฝุ่นที่ไม่พึงประสงค์มาบดบังรูปภาพที่สวยงามของคุณอีกต่อไป สุดท้ายกับอุปกรณ์เสริมของ Canon EOS 40D โดยตัวที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก นอกจากเลนส์ที่มีให้เลือกใช้ทุกช่วยแล้วนั่นก็คือ Battery Grip BG-E2N ซึ่งมันมีการซีลรอยต่อเพื่อป้องกันฝุ่นและละอองน้ำไว้ด้วย และอุปกรณ์อีกตัวที่น่าสนใจนั่นก็คือ Wireless File Transmitter WFT-E3 ซึ่งมีความสามารถในการโอนถ่ายข้อมูลภาพจากตัวกล้องไปยังคอมพิวเตอร์ได้ในแบบไร้สายนั่นเอง

จากการทดสอบ Canon EOS 40D มีความสามารถในการถ่ายภาพที่ดีเยี่ยมเลยเลยทีเดียว ด้วยความละเอียดที่มีถึง 10.1 ล้านพิกเซล (3888 x 2592 พิกเซล) จึงช่วยให้สามารถนำภาพที่ถ่ายได้ไปพิมพ์กับกระดาษขนาด A4 ได้อย่างไม่มีปัญหาแต่อย่างใด รวมไปถึงยังสามารถนำไปใช้กับงานประเภทกราฟิกได้ดีอีกด้วย ส่วนระบบออโต้โฟกัสที่มีจุดออโต้โฟกัสในแบบแนวกว้างรูปกากบาทหรือ Cross – type ถึง 9 จุดนั้น ก็ช่วยในการถ่ายภาพอย่างมาก โดยมันสามารถทำงานได้ในสภาวะที่มีแสงน้อยระดับ f/ 5.6 และโดยสำหรับที่จุดกลางภาพ จะมีความไวในการทำงานสูงถึงระดับ f/ 2.8 ทั้งในแนวตั้งและแนวนอน จึงทำให้การโฟกัสมีความแม่นยำเป็นอย่างยิ่ง โอกาสที่จะถ่ายภาพแล้วหลุดโฟกัสจะเกิดขึ้นได้น้อยมากๆ ทั้งนี้ 40D ยังมีการโฟกัสที่รวดเร็วเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

พอพูดถึงความรวดเร็วแล้วเจ้ากล้องตัวนี้ ก็มีให้พูดถึงอย่างเหลือเฝือเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นตอนเปิดเครื่องครั้งแรกนั้น มันใช้เวลาแค่เพียง 0.15 วินาทีในการเปิดกล้องพร้อมใช้งาน และด้วยระบบประมวลผลแบบใหม่ที่มีชื่อว่า DIGIC III ซึ่งมาพร้อมกับเมมโมรี่ในรูปแบบ DDR SDRAM ที่สามารถบันทึกข้อมูลได้ในแบบ 4 ช่องสัญญาณ ก็ช่วยให้การถ่ายภาพตลอดจนการประมวลผลภาพต่างๆมีความคล่องแคล่วว่องไวสมบูรณ์แบบค่อนข้างมาก และสำหรับการทดสอบถ่ายภาพต่อเนื่องนั้น เจ้า Canon EOS 40D ก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็วเลยทีเดียว โดยภาพที่ถ่ายออกมานั้น ถ้าเอามาเปิดดูแบบเรียงต่อกันเร็วๆ จะเห็นว่ามันแทบจะใกล้เคียงกับภาพที่ถ่ายในแบบวิดีโออย่างใดอย่างนั้น และสำหรับการถ่ายภาพในตอนที่มีแสงน้อยนั้น Canon EOS 40D สามารถใช้ค่าความไวแสงได้สูงสุดถึง ISO 3200 โดยไม่พบ Noise แต่อย่างใด และภาพที่ได้ออกมาก็มีความสมบูรณ์อยู่ค่อนข้างมาก ที่เป็นอย่างนี้เพราะทาง Canon เองได้บรรจุเอาระบบลด Noise แบบ On-Chip Noise Reduction เอาไว้ในตัวเครื่อง จึงทำให้อาการ Noise พบได้ยากยิ่งในตัว 40D


ส่วนจอภาพแอลซีดี TFT ที่เป็นแบบ Live View ก็ทำให้การถ่ายภาพมีความสะดวกเป็นอย่างมากในสถานการณ์ที่ไม่สามารถใช้ช่องมองภาพเพื่อถ่ายภาพได้ โดยส่วนตัวได้นำไปทดสอบกับการถ่ายภาพในตอนที่มีงานแถลงข่าว ซึ่งจะถ่ายภาพลำบากอย่างมาก ถ้าใช้การมองจากช่องมองภาพในการถ่ายภาพ เพราะจะมีนักข่าวมากมายแย่งกันถ่ายภาพ จนหัวบังไปหมด ซึ่งถ้าเราตัวสูงประมาณ 200 ซม. ขึ้นไปก็คงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่ถ้าเราตัวไม่สูงขนาดนั้นจอภาพแอลซีดีที่เป็นในแบบ Live View ก็ช่วยแก้ปัญหานี้ไปได้เยอะทีเดียว แค่เพียงเปิดการใช้งานในโหมดนี้ แล้วยกตัวกล้องขึ้นเหนือศีรษะก็สามารถมองเห็นตัวแบบที่ต้องการจะถ่ายผ่านทางจอแอลซีดีได้อย่างพอดี เท่าที่ทดสอบโหมดการใช้งานหน้าจอแอลซีดีในแบบ Live View นี้ก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเราเป็นอย่างมาก แต่ดูแล้วยังค่อนข้างหน่วงไปสักนิด ถ้ามันตอบสนองได้รวดเร็วกว่านี้ก็คงจะยอดเยี่ยมไปเลย และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพในไฟล์ Raw ก็ต้องมาฟังทางนี้ เพราะเจ้า 40D มีความสามารถในการถ่ายภาพได้ในรูปแบบของไฟล์ที่มีชื่อว่า “sRaw” ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนกับไฟล์ Raw แต่มีขนาดที่เล็กลงถึงครึ่งหนึ่ง ช่วยให้ประหยัดเนื้อที่ในการบันทึกข้อมูลไปได้เยอะมากเลยทีเดียว

คุณภาพไฟล์ยอดเยี่ยมขึ้น

ใน EOS 40D แคนนอนใช้เซ็นเซอร์รับภาพแบบ CMOS ขนาด APS-C ที่ต้องคูณทางยาวโฟกัสอีก 1.6 เท่าเช่นเดิม แต่เป็นเซ็นเซอร์ CMOS ที่ได้รับการออกแบบมาใหม่ ให้คุณภาพสูงกว่า มีความละเอียดของภาพแสดงผลที่ 10.1 ล้านพิกเซล (3888x2592 พิกเซล) สามารถนำไปใช้ในงานพิมพ์ที่ต้องการความละเอียดสูงแบบปูเต็มหน้า A4 ได้อย่างเหลือเฟือ ให้ความลึกสีสูงถึง 14 บิท จึงเก็บรายละเอียดต่างๆ และไล่โทนสีได้อย่างละเอียดและนุ่มนวล แสดงเฉดสีได้ครบถ้วนสมบูรณ์ อีกทั้งยังมีการติดไมโครเลนส์ไว้ที่หน้าเซ็นเซอร์ เพื่อช่วยให้เก็บรายละเอียดได้ดียิ่งขึ้น และให้ค่าไดนามิคเรนจ์กว้างด้วยการเพิ่มฟังก์ชั่น Highlight Tone Priority การเก็บรายละเอียดในส่วนสว่างอย่างเช่นเสื้อผ้าสีขาวนั้น จึงทำได้ดีกว่าเดิมมาก ไม่เสียรายละเอียดไปทั้งหมด แต่จะเลือกใช้ค่า ISO 100 ไม่ได้
EOS 40D ให้คุณภาพที่ดีเยี่ยมเมื่อต้องใช้งานในที่แสงน้อย สามารถตั้งค่าความไวแสงได้ตั้งแต่ ISO 100-1600 เป็นมาตรฐาน และสามารถบูสท์ไปที่ H ได้ในคัสตอมฟังก์ชั่นที่ 1-3 ซึ่งจะเทียบเท่า ISO 3200 ทั้งยังมี ISO AUTO ที่กล้องจะเลือกใช้ในช่วง ISO 100-800 เพื่อให้ได้ความเร็วชัตเตอร์ที่เพียงพอ นอกจากนี้แคนนอนยังได้ติดตั้งระบบลด Noise แบบ On-Chip Noise Reduction ก่อนจะส่งผ่านข้อมูลไปยังระบบประมวลผล ทำให้การใช้งานที่ความไวแสงสูง รวมทั้งการเปิดชัตเตอร์เป็นเวลานาน มี Noise น้อยกว่าเดิมมาก


ระบบประมวลผลใหม่ DiGiC III กับฟอร์แมตภาพที่หลากหลาย

แคนนอนใช้ระบบประมวลผลที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด DiGiC III อันเป็นอัลกอลิธึมที่ซับซ้อน ในการจัดการกับข้อมูลภาพที่มีจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว โดยทำให้ EOS 40D สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงสุดที่ 6.5 เฟรมต่อวินาทีเลยทีเดียว ซึ่งภาพทั้งหมดยังคงได้คุณภาพที่ดีเยี่ยมในทุกๆ ด้านเฉกเช่นเดียวกับกล้องระดับโปร นอกจากความเร็วถ่ายภาพต่อเนื่องแล้ว ระบบการทำงานต่างๆ ยังคงรวดเร็วขึ้นด้วย และช่วยให้ประหยัดพลังงานได้อย่างยอดเยี่ยม ไฟล์ฟอร์แมตของ EOS 40D มีความยืดหยุ่นสูงมาก โดยแคนนอนได้เพิ่มไฟล์ฟอร์แมต sRAW (1936x1288 พิกเซล หรือ 2.5 ล้านพิกเซล) ใหม่เข้าไป ซึ่งออกแบบมาให้ผู้ใช้ที่ต้องการคุณภาพระดับสูง แต่ไม่ต้องการไฟล์ภาพขนาดใหญ่ไว้เป็นตัวเลือก ซึ่งจะส่งผลถึงความเร็วในการทำงานของกล้องที่เร็วขึ้น ถ่ายภาพได้มากขึ้น รวมไปถึงขั้นตอนการโปรเซสภาพในภายหลัง ที่จะทำได้รวดเร็วขึ้นกว่าไฟล์ RAW แบบเต็มความละเอียด นอกจากนี้ยังสามารถเลือกแบบ sRAW+JPEG กับไฟล์ JPEG ทุกขนาดได้ ทำให้ไฟล์ฟอร์แมตของ EOS 40D สามารถเลือกได้ถึง 20 แบบด้วยกันเลยทีเดียว

เพิ่มประสิทธิภาพเรื่องความเร็ว

แคนนอนปรับปรุงความเร็วในการทำงานให้ กับ EOS 40D เป็นอย่างมาก โดยได้เพิ่มความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่องขึ้นเป็น 6.5 เฟรมต่อวินาที (EOS 30D ทำได้ 5 เฟรมต่อวินาที) ซึ่งถือได้ว่าเร็วที่สุดในกล้องระดับเดียวกัน และเป็นรองกล้องระดับโปรซีรี่ส์ EOS-1D เท่านั้น อีกทั้งยังสามารถถ่ายภาพต่อเนื่องรวดเดียวได้มากถึง 75 ภาพกับไฟล์แบบ JPEG และ 17 ภาพแบบ RAW หรือ RAW+JPEG ก็ยังทำได้ถึง 14 ภาพเลยทีเดียว ทำให้ไม่พลาดช็อตสำคัญไป ด้านความเร็วในการโฟกัส EOS 40D ได้ถูกพัฒนาให้มีขีดความสามารถสูงมากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ระบบออโตโฟกัสใหม่ที่มีจุดโฟกัส 9 จุด ทั้งหมดเป็นเซ็นเซอร์แบบกากบาทหรือ Cross-type ที่ทำงานได้ในสภาพแสงน้อยระดับ f/5.6 และโดยเฉพาะที่จุดกลางภาพ จะมีความไวในการทำงานสูงถึงระดับ f/2.8 ทั้งในแนวตั้งและแนวนอน ทำให้กล้องสามารถโฟกัสได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้นกว่าเดิมมาก

ระบบ Live View ใหม่พร้อมออโตโฟกัส

ระบบการเห็นภาพก่อนถ่ายด้วยจอ LCD ที่ด้านหลังกล้องเช่นเดียวกับกล้องคอมแพค หรือที่นิยมเรียกกันว่า Live View นั้น ดูจะกลายเป็นกระแสนิยมไปแล้ว และแคนนอนเองก็เคยใส่ระบบนี้ไว้ในกล้องระดับโปรอย่าง EOS-1D Mark III เป็นตัวแรกมาแล้วด้วย แต่ Live View ใหม่ใน EOS 40D มีความก้าวหน้าและเหนือกว่าที่ใช้ใน EOS-1D Mark III ไปมาก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและการทำงานที่ดียิ่งขึ้น
EOS 40D ใช้จอ LCD ขนาดใหญ่ 3.0 นิ้ว การเปิดใช้ Live View จึงมองภาพที่แสดงผลในแบบ Real Time ได้อย่างชัดเจนเต็มตา ทั้งยังแสดงภาพได้ 100% การโฟกัสภาพจึงยิ่งเห็นผลได้ง่าย สามารถซูมขยายภาพเพื่อการโฟกัสที่แม่นยำยิ่งขึ้นได้ 2 สเตปที่ 5 และ 10 เท่า ช่วยลดความผิดพลาดจากการโฟกัสได้มากขึ้น เพียงเท่านี้ก็อาจจะรู้สึกว่าไม่ต่างอะไรกับ Live View ใน EOS-1D Mark III แต่เสียงตอบรับกลับมาคือไม่สามารถใช้ระบบออโตโฟกัสได้ จึงขาดความคล่องตัว แคนนอนจึงปรับปรุง Live View ของ EOS 40D ให้สามารถออโตโฟกัสได้แล้ว โดยใช้ปุ่ม AF-ON ที่อยู่มุมขวาบนที่ด้านหลังกล้องเป็นปุ่มโฟกัส แต่ก็จะไม่สามารถเห็นภาพขณะที่กำลังออโตโฟกัสได้ จึงต้องฟังเสียงเตือนโฟกัสชัดว่าภาพชัดหรือยัง เมื่อปล่อยปุ่ม AF-ON ภาพก็จะกลับมาอีกครั้ง
ส่วนด้านการแสดงผล หากเป็นค่ามาตรฐานจากโรงงานไม่เพียงแค่แสดงภาพ, ิกเจอร์สไตล์ที่ใช้, ปริมาณแบตเตอรี่ และมีข้อมูลการถ่ายภาพที่ใต้ภาพเท่านั้น แต่ยังเลือกให้ EOS 40D แสดงเส้นตารางกริดได้อีกด้วย เพื่อช่วยให้การวางภาพไม่เอียง และได้โพสิชั่นของภาพที่สวยงาม นอกจากนี้ยังแสดงผลจากการปรับตั้งค่าการถ่ายภาพได้ด้วย ทั้งค่าความสว่างหรือค่าไวท์บาลานซ์ของภาพ ว่าถูกต้องสมจริงหรือไม่อย่างไร โดยต้องเข้าไปตั้งค่าคัสตอมฟังก์ชั่นที่ 4-7 Live View Exposure Simulation เป็น Enable เสียก่อน นอกจากนี้ก็ยังสามารถใช้ฟังก์ชั่น Remote Live View ได้ คือสามารถจะควบคุมกล้องผ่านคอมพิวเตอร์ด้วยซอฟท์แวร์ EOS Utility ไม่ว่าจะเชื่อมต่อด้วยสาย USB หรือระบบ Wireless ก็จะสามารถเห็นภาพก่อนถ่ายเป็นแบบ Real time ได้เช่นกัน จึงเห็นภาพได้ใหญ่ยิ่งขึ้นด้วยจอของคอมพิวเตอร์ การตรวจสอบโฟกัสและการจัดวางคอมโพสิชั่นภาพจึงทำได้สะดวกและดียิ่งขึ้น
สิ่งพิเศษอีกอย่างของ Live View ใน EOS 40D ก็คือมีโหมดเงียบ (Silent Shooting Mode) ให้ใช้ได้ 2 โหมดด้วยกัน โดยโหมดแรกจะลดเสียงของชัตเตอร์ลง และยังสามารถถ่ายภาพแบบต่อเนื่องได้ด้วยความเร็วต่ำ โหมดที่สองจะเงียบที่สุด เพราะเมื่อกดชัตเตอร์ถ่ายรูปแล้วม่านชัตเตอร์จะไม่ดีดกลับทันที จนกว่าจะปล่อยปุ่มชัตเตอร์ จึงใช้ถ่ายได้ทีละภาพเท่านั้น ซึ่งโหมดเงียบนี้เหมาะกับการใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการความเงียบเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน เช่น ในพิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด กองถ่าย สถานที่วิปัสสนา การแข่งขันกีฬาบางประเภท เป็นต้น และการใช้ระบบ Live View ใน EOS 40D จะทำให้ค่า Time Lag ของชัตเตอร์ลดลงอีกด้วย

บอดี้ที่ยอดเยี่ยม

EOS 40D จัดว่าเป็นกล้องที่อยู่ในระดับ Advanced Amatuer ที่นอกจากจะต้องมีประสิทธิภาพการทำงานในขั้นสูงแล้ว ตัวของบอดี้กล้องยังถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างสมบุกสมบัน โดยตัวบอดี้ขึ้นรูปด้วยโลหะแบบแมกนีเซียมอัลลอยด์ทั้งชิ้น และใช้สแตนเลสในการผลิตเฟรมภายในตัวกล้อง จึงเชื่อได้ในเรื่องความแข็งแรงทนทาน ขนาดตัวกล้องใหญ่ขึ้นกว่าเดิมแต่ก็ให้การจับถือที่ดีกว่า ด้วยการทำช่องนิ้วไว้ให้บนสันกริปด้วย
ม่านชัตเตอร์ของ EOS 40D ถูกทดสอบมาแล้วกว่า 100,000 ครั้ง ว่ายังสามารถทำงานได้อย่างแม่นยำและมีความถูกต้อง ส่วนช่องมองภาพถูกออกแบบมาใหม่ มองเห็นภาพได้ 95% ให้อัตราขยาย 0.95x จึงมองเห็นได้ใหญ่โตชัดเจน มองได้กว้างถึง 26.4 องศา โดยมีระยะ Eye-Point 22 มม.
จอ LCD ของกล้องรุ่นนี้ขยายขึ้นมาเป็น 3.0 นิ้ว จึงมองภาพได้อย่างชัดเจน ใหญ่โตเต็มตา โดยมีความละเอียด 230,000 พิกเซล มีองศาการมองภาพกว้าง 140 องศาจากทุกมุมมอง และสามารถปรับค่าความสว่างของหน้าจอได้ 7 ระดับ เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในสภาพแสงต่างๆ ด้วย


EOS Integrated Cleaning System

หลังจากที่แคนนอนได้เพิ่มระบบกำจัดฝุ่น ที่อาจเกาะที่หน้าระนาบเซ็นเซอร์เข้ามาในกล้องรุ่น EOS 400D เป็นต้นมา ก็กลายเป็นระบบที่ขาดไปไม่ได้เสียแล้ว และใน EOS 40D ก็เช่นกัน ด้วยการติดตั้งชุดที่ใช้เขย่าชั้นฟิลเตอร์ที่หน้าเซ็นเซอร์ ด้วยความเร็วสูงระดับอุลตร้าโซนิค ซึ่งจะทำงานทั้งตอนที่เปิดหรือปิดกล้องโดยอัตโนมัติหรือจะสั่งเองแบบแมนนวลก็ได้ หากยังมีฝุ่นเกาะอยู่ ระบบภายในของ EOS 40D จะตรวจสอบว่าจุดด่างดำที่อยู่บนภาพเกิดจากฝุ่นหรือไม่ หากใช่ก็จะลบจุดด่างดำดังกล่าวได้ด้วยระบบ Dust Delete Function ในโปรแกรม DPP ของแคนนอนเองได้อย่างอัตโนมัติ ภาพที่ได้จึงใสเคลียร์อยู่เสมอ

การออกแบบ : รูปลักษณ์ภายนอกของ EOS 40D ดูเผินๆ แล้วก็แทบจะไม่ได้แตกต่างจาก EOS 30D เท่าใดนัก จุดแตกต่างที่จะสังเกตได้ชัดคือบริเวณของกะโหลกกล้องที่ดูหนาขึ้นและตัดมุมเล็กน้อย ทำให้ดูสวยขึ้นมากแม้จะเป็นการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยก็ตาม แป้นปรับโหมดใหญ่ขึ้น ฐานฮอทชูแฟลชยกสูงขึ้น และจอ LCD ที่ใหญ่โตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ด้านหน้า : แคนนอนยังคงความโค้งมนของบอดี้ไว้เช่นเคย ขนาดตัวกล้องกำลังดี ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป สันกริปตัดชันหุ้มด้วยยางลายหยาบ และทำร่องนิ้วไว้ให้ด้วย จึงจับถือได้อย่างถัดมือ วางตำแหน่งของปุ่มชัตเตอร์บนฐานที่ทำสโลปตัดลงอีกเล็กน้อย กดได้สะดวกยิ่งขึ้น ตรงกะโหลกกล้องออกแบบให้ตรงกลางส่วนล่างโค้งลงเล็กน้อย ทำให้ดูหนาขึ้นและทำการปาดมุมทางด้านบนทั้ง 2 มุม ทำให้ดูสวย ไม่เรียบมนไปทั้งหมดเสียทีเดียว แผ่นป้ายบอกชื่อรุ่น EOS 40D ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย และปุ่มปลดล็อกเลนส์ออกแบบทรงใหม่ด้วย
ด้านบน : แคนนอนยังคงวางเลย์เอาท์ของปุ่มกดไว้เช่นเดิม แต่มีการเปลี่ยนการทำงานของปุ่มเสียใหม่ โดยปุ่มกด 4 ปุ่มที่เรียงกันเหนือจอ LCD นั้น ปุ่มซ้ายสุดยังเป็นปุ่มเปิดไฟดูข้อมูลเช่นเดิม ถัดมาเป็นปุ่มเลือกระบบวัดแสงและไวท์บาลานซ์ (เดิมเป็นระบบออโตโฟกัสกับไวท์บาลานซ์) ปุ่มที่สามเป็นปุ่มเลือกระบบออโตโฟกัสและระบบเลื่อนภาพ (เดิมเป็นระบบเลื่อนภาพกับความไวแสง) ปุ่มขวาสุดใช้เลือกความไวแสงและชดเชยแสงแฟลช (เดิมเป็นระบบวัดแสงและชดเชยแสงแฟลช) การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่ได้ทำให้การใช้งานสับสนแต่อย่างใด ยังคงใช้งานได้รวดเร็วตามปกติเช่นเดิม
จอ LCD เล็กนี้ เพิ่มการแสดงความไวแสงไว้ด้วยนอกเหนือจากการปรับเลย์เอาท์เล็กน้อย ตรงบริเวณฐานของฮอทชูแฟลช แคนนอนทำฐานขึ้นโดยรอบทั้งด้านหน้า ซ้ายและขวา เพื่อรองรับการใช้งานร่วมกับแฟลช Speedlite 580EX II ที่จะครอบฐานแฟลชเพื่อกันละอองน้ำนั่นเอง และทางซ้ายสุดเป็นแป้นเลือกโหมดถ่ายภาพที่ดูมีขนาดใหญ่และสวยขึ้น ทั้งยังได้เพิ่มโหมดถ่ายภาพแบบคัสตอมให้อีก 3 ช่อง (C1, C2, C3) เพื่อใช้ตั้งระบบล่วงหน้าให้เป็นแบบเฉพาะตัวนั่นเอง
ด้านข้าง : ทางฝั่งซ้ายเป็นช่องอินเตอร์เฟสต่างๆ วางเรียงบน 2 แถว แถวซ้ายด้านบนเป็นช่องเสียบสายซิงค์แฟลช ส่วนช่องล่างเป็นช่องเสียบรีโมต แถวขวาด้านบนเป็นช่อง VIDEO OUT และด้านล่างเป็นช่องเสียบสาย USB ทั้งหมดปิดด้วยแผ่นยางที่เปิดแยกกันได้ จึงใช้สะดวกไม่เกะกะ ส่วนฝั่งขวาเป็นบานพับเปิดปิดช่องใส่เมมโมรี่การ์ดที่แข็งแรงเช่นเดิม ใช้การ์ดแบบ CF ทั้ง Type I และ Type II

ความคิดเห็น : หากถามผมว่านี่ใช่กล้องที่รอคอยการมาถึงใช่หรือไม่ ..ผมคงตอบว่าไม่หากดูที่ความละเอียดของภาพเพียงอย่างเดียว แต่หากดูรวมๆ ถึงคุณภาพของภาพที่ทำได้ เทคโนโลยี ระบบการทำงานภายใน บอดี้ภายนอก และรวมถึงราคาจัดจำหน่าย คงต้องบอกว่าแคนนอนไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ และนี่ก็ถือว่าเป็นกล้อง DSLR ที่คุ้มค่าและน่าใช้มากๆ รุ่นหนึ่ง จัดอยู่ในระดับ Recommended ได้เลยครับ อุอุ


~๐ -------------------------------- ๐~

วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2551

รีวิว เจ้า 400d ตัวเก่ง

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนะคับ วันนี้ผมเลยหาโอกาส รีวิว เจ้ากล้องของผมนะคับ เอาไว้เป็นวิทยาทาน ต่อไป
เจ้าตัวนี้ก็มีชื่อง่ายๆ ว่า เจ้า Canon EOS 400D แต่รีวิวนี้ผมอ้าวอิงกับตอนแรกที่มันออกใหม่ๆ เลยนะคับ (เวลาก็ล่วงเลยมาจะ 2 ปีอยู่แล้ว - -") ยังไงจะหารีวิวรุ่นใหม่ๆ มาอีกล่ะกันนะคับ ว่าแล้วก็

ระบบกำจัดฝุ่นบนเซนเซอร์ ซึ่งทาง Canon ได้พัฒนาโดยใช้วัสดุ Piezo สร้างคลื่นสั่นสะเทือน ความถี่ระดับอัลตราโซนิค ช่วยสะบัดฝุ่นออกจากเซนเซอร์ ซึ่งด้วยความถี่ระดับนี้ทำให้เศษฝุ่นทุกอณูหลุดออกได้ง่ายดาย

อีกทั้งเคลือบสารป้องกันไฟฟ้าสถิตบน Low pass ฟิลเตอร์ช่วยให้เศษฝุ่นไม่ติดบนเซนเซอร์อีกด้วย แล้วระบบนี้ยังทำงานทั้งตอนเปิดกล้องและปิดกล้อง

และเป็นที่น่าสังเกตว่า หลายๆ คุณสมบัติที่มีอยู่ในกล้อง 400D นั้นคล้ายคลึงกับ Sony A100 พอสมควรเรียกว่ามีปะทะกันหมัดต่อมัดเลยทีเดียว เช่น ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล, ระบบกำจัดฝุ่น, เซนเซอร์ที่ช่องมองภาพ, ขนาดจอ LCD 2.5 นิ้ว เป็นต้น

Accessories

Canon EOS 400D จัดเป็นกล้อง DSLR ขนาดเล็กติดอันดับต้นๆ ในขณะนี้เลยทีเดียว การออกแบบที่พยายามให้กล้องมีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่ทำได้ ซึ่งในรุ่นก่อนหน้านี้ ก็ได้รับทั้งเสียงชื่นชมในเรื่องความเล็ก และก็มีเสียงเรียกร้องให้ปรับปรุงเรื่องความสะดวกสบายในการจับถือ เพราะขนาดที่เล็กมาก

โดยเฉพาะกริปจับที่เล็กเกินไป ซึ่งใน 400D ได้พยายามปรับปรุงขึ้นเล็กน้อย โดยเพิ่มความหนาของกริปจับขึ้นอีกตั้ง 1 มม. (โอ.. พระเจ้ามันช่างเยอะเสียนี้กระไร) เพิ่มเหลี่ยมสันต่างๆ ให้นูนมากขึ้นอีกนิดหน่อย และเพิ่มยางรองรับหัวแม่มือบริเวณด้านหล้ง และบริเวณกริปจับก็ปรับปรุงพื้นผิวแบบพ่นทราย ทำให้จับติดมือมากยิ่งขึ้น สำหรับเรื่องวัสดุการประกอบของ 400D ทำพื้นผิวเป็นแบบ Semi-Gloss (เงากึ่งด้าน) พื้นผิวและการประกอบอยู่ในเกณฑ์ดี ให้ความรู้สึกแน่นดี

พอร์ตเชื่อมต่อ
ด้านบนเป็นแฟลชเสริม ซึ่งคุณสามารถเปิดได้โดยกดปุ่มบริเวณด้านหน้า ซึ่งแฟลชจะดีดตัวค่อนข้างแรง สำหรับด้านบนสุดมี Hot shoe สำหรับติดตั้งแฟลชเสริมของ Canon และช่องเชื่อมต่อเป็นแบบมาตรฐานใช้แฟลชเสริมอื่นๆ ได้ แต่ไม่ได้เต็มระบบเหมือนกับแฟลชของ Canon เอง
Canon EOS 400D จัดวางพอร์ตต่างๆ ได้ค่อนข้างลงตัว โดยด้านซ้ายได้รวบรวมพอร์ตต่างๆ ไว้ ได้แก่ พอร์ต USB, รีโมท และ Video Out การรวมพอร์ตต่างๆ ไว้ที่จุดเดียว ช่วยให้ง่ายต่อการใช้งาน

ส่วนทางด้านขวาเป็นช่องใส่เมมโมรี่การ์ดแบบ CF ฝาปิดค่อนข้างแข็งทีเดียว เวลาเปิดออกมาควรระวังไม่ง้างฝาปิดมากเกินไป อาจทำให้ฝาเสียหายได้

ด้านล่างเป็นช่องใส่แบตเตอรี่ NB-2LH แบบ Li-ion ความจุ 720 mAh ซึ่งดูจะมีขนาดเล็กกว่าแบตเตอรี่ของกล้องดิจิตอล SLR รุ่นอื่นๆ ซึ่งจากการใช้งาน EOS 400D สามารถใช้งานได้ยาวนานเป็นพอๆ กับกล้องรุ่นอื่นๆ ระยะเวลการใช้งานไม่แตกต่างกันมากนัก

การจับถือ และพกพา

ดูเหมือนว่า Canon ได้พยายามที่จะปรับปรุงคุณภาพการจับถือให้ดีขึ้น โดยยังคงรูปลักษณ์แบบเดิมของกล้องตระกูลนี้ไว้ ถึงอย่างไรก็ตาม เมื่อทดลองใช้งานก็จะพบว่า การจับถือติดมือมากยิ่งขึ้น แต่เมื่อถือไปนานๆ จะพบความเมื่อยล้าได้ที่นิ้วมือพอสมควร

เพราะกริปที่เล็กทำให้ต้องใช้ปลายนิ้วจิกลงไป สำหรับคนที่มีปัญหาในการจับกล้องเล็กๆ แบบนี้ แนะนำให้ซื้อกริปจับแนวตั้งซึ่งราคาค่อนข้างสูง หรือสายรัดมือที่ใช้กับกล้อง SLR มาใช้ จะช่วยได้มากทีเดียวครับ

สำหรับการจัดวางปุ่มต่างๆ ของ 400D จัดวางไว้เป็นแบบมาตรฐานของ Canon ซึ่งส่วนใหญ่จะรวบรวมปุ่มปรับแต่งค่าต่างๆ ไว้ที่ด้านหลัง ทำความเข้าใจสักพัก ก็จะใช้ได้อย่างไม่ยากเกินไป แต่ถ้าต้องการเลือกจุดโฟกัสเอง จะต้องกดปุ่ม 2 ครั้งถึงจะเลือกจุดโฟกัสได้

มาถึงการทดสอบประสิทธิภาพของ Canon EOS 400D ที่รอคอยเป็นเวลานาน พูดไปแล้วรู้สึกผิดต่อผู้อ่านจริงๆ ที่ทำให้ต้องรอคอยนาน เพราะช่วงนี้ผมติดภารกิจมากจริงๆ ต้องขอโทษด้วยครับ -_-‘ กลับมาเรื่อง Canon EOS 400D กันต่อดีกว่า


ถ้าหากดูคุณสมบัติใหม่ๆ ใน 400D นั้น เหมือนจะอัปเกรดมาจาก 350D เสียเป็นส่วนใหญ่ จากเดิมที่ดีอยู่แล้วก็ปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น เช่น เพิ่มความละเอียดเป็น 10 ล้าน พิกเซล, เพิ่มโฟกัสเป็น 9 จุด ปรับปรุงวัสดุ และเมนูการใช้งานให้สะดวกขึ้น

ก็ถือว่าดีขึ้นแต่ยังไม่แปลกใหม่ ที่โดดเด่นเห็นจะเป็นระบบกำจัดฝุ่นด้วยแรงสั่นสะเทือนอัลตราโซนิค คล้ายๆ กับของ Olympus ที่ดูจะใช้งานได้ดี เรามาดูการทดสอบด้านต่างๆ กันเลยดีกว่าครับ

ความเร็วในการตอบสนอง

เริ่มกันที่ความเร็วในการทำงานของ Canon EOS 400D ซึ่งทาง Canon ขึ้นจัดว่าเป็นผู้นำด้านการพัฒนาความเร็วในการถ่ายภาพอยู่แล้ว

เริ่มตั้งแต่การปิดและเปิดกล้องเพื่อพร้อมใช้งาน 400D สามารถเปิดกล้องเพื่อพร้อมใช้งานได้แทบจะทันที ถึงแม้ว่า 400D จะมีกระบวนการสะบัดฝุ่นออกจากเซนเซอร์ก่อนการเปิดและปิดก็ตาม แต่ว่าก็ใช้เวลาน้อยมาก

ความเร็วในการโฟกัสภาพ กับระบบโฟกัสเก้าจุดของ 400D สามารถทำงานได้รวดเร็วดีมาก แม้ในที่แสงน้อยก็ยังทำงานได้ดีอยู่ในขั้นน่าประทับใจ และ 400D สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้ 3 ภาพต่อวินาที ซึ่งถือเป็นค่ามาตรฐานของกล้อง DSLR ในปัจจุบัน

ดังนั้นหายห่วงเรื่องความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่องสำหรับช่างภาพทั่วไป หากเป็นช่างภาพระดับฟุตบอลโลกอาจต้องการเร็วกว่านี้ ก็คงต้องมองรุ่นโปรสุดๆ ล่ะครับ

สำหรับผมเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว สำหรับเสียงการลั่นชัตเตอร์ 400D ได้ปรุงแต่งเสียงให้คล้ายกล้องฟิล์ม แต่ออกไปทางอิเลคโทรนิคเล็กน้อย ตามสไตล์ Canon

ซอฟต์แวร์ที่แถมมากับกล้อง Canon EOS 400D มีมาให้จุใจทีเดียวครับได้แก่

  • Canon ZoomBrowser EX 5.7 - โปรแกรมจัดการภาพถ่าย โหลดภาพ ดูภาพ แต่งภาพ พิมพ์ภาพ ทั่วๆ ไป

  • Canon EOS Utility 1.1 – โปรแกรมจัดการและ ปรับแต่งกล้อง Canon คุณสามารถเชื่อมต่อกล้องผ่านสาย USB แล้วปรับแต่งค่าต่างๆ เช่น Picture Style ได้ผ่านทางโปรแกรมนี้ และยังสามารถถ่ายภาพแล้วโหลดลงคอมพิวเตอร์ได้ทันทีอีกด้วย

  • Canon EOS 400D WIA driver – ไดรเวอร์ที่ใช้ควบคู่กับ Canon EOS Utility

  • Canon PhotoStitch 3.1 – โปรแกรมต่อภาพถ่าย แบบ Panorama

  • Canon Digital Photo Professional 2.2 – โปรแกรม แต่งภาพ และแปลงไฟล์ RAW ความสามารถสูง สามารถเปิดไฟล์ RAW นามสกุล .CR2


  • มาดูเรื่องประสิทธิภาพกันบ้าง กล้อง Canon EOS 400D จัดว่าเป็นกล้องประสิทธิภาพสูงเกินตัว ทั้งด้านความเร็วในการทำงาน ระบบป้องกันฝุ่นบนเซนเซอร์ ความเร็วในการโฟกัสภาพ คุณภาพของภาพถ่ายที่ดี Noise ที่ต่ำมากแม้ใน ISO ที่สูง จอ LCD ที่แสดงผลใกล้เคียงกับไฟล์ภาพจริง (แค่ใกล้เคียงนะครับ) ซึ่ง Canon ได้ปรับปรุงสิ่งที่ดีอยู่แล้วใน 350D ให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปอีกใน 400D

  • แต่ก็มีจุดที่ขัดใจสำหรับผู้ใช้บางคนอยู่บ้าง เช่น จอ LCD ที่ตัดแสงสะท้อนได้ไม่ดีนัก ระบบ White Balance ที่ดูไม่ค่อยนิ่ง รวมถึงระบบวัดแสงที่ไม่นิ่งในบางสถานการณ์ โหมด Playback ไม่สามารถแสดงรายละเอียดทางยาวโฟกัสได้ ไม่สามารถปรับ Auto ISO ได้ในโหมดกึ่งอัตโนมัติได้ ซึ่งก็เป็นข้อจำกัดเล็กๆ น้อยๆ ใน 400D

    เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพต่อราคาแล้ว กล้อง Canon EOS 400D จัดเป็นกล้องประสิทธิภาพสูงคุ้มค่า คุ้มราคามากทีเดียวครับ


~๐ -------------------------------- ๐~


ชนิดของกล้องถ่ายภาพ

บทนี้เป็นการเสนอเพื่อให้ทราบถึงชนิดของกล้องประเภทต่างๆ เพื่อการเลือกใช้งาน และเลือกซื้อให้ได้ตามความต้องการของผู้ใช้ ซึ่งผมถือว่าเป็นเรื่องแรก และสำคัญมากในการเริ่มศึกษา การถ่ายภาพ นะคับ ^^

กล้องถ่ายภาพที่มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีหลากหลายรูปแบบตามลักษณะการใช้งาน ซึ่งมีหลายบริษัท ได้ผลิตออกมาจำหน่าย ซึ่งผู้ใช้ต้องรู้จักเลือกเพื่อใช้กล้องให้เหมาะสมกับงาน หรืองบประมาณที่มีอยู่ ตลอดจน สิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงาน เช่น ฟิล์ม หรือกระบวนการล้าง อัด ขยายภาพ การเลือกใช้กล้อง ที่เหมาะสม กับงานจะได้ผลงานที่ดี ประหยัดทั้งเวลา ค่าใช้จ่าย ในการทำงาน ซึ่งจะแบ่งตามประเภทต่างๆ ดังนี้นะคับ

1 กล้องขนาด 110 Pocket

เป็นกล้องขนาดเล็กกระทัดรัด ราคาถูก ใช้ฟิล์มมีลักษณะเป็นกลัก ขนาด 16 มม.หรือ 13x17มม. เป็นฟิล์มขนาดเล็ก ตัวกล้องทำด้วยพลาสติกแข็ง เลนส์ทำจากเจลาติน มีทางยาวโฟกัสคงที่ ไม่สามารถเปลี่ยนทางยาวโฟกัส หรือปรับโฟกัสได้ ช่องมองภาพแยกคนละช่องกับเลนส์ ภาพที่ได้มีความคมชัดพอสมควร แต่ไม่เหมาะสำหรับขยายใหญ่กว่าโปสการ์ด เหมาะสหรับถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ทัศนาจร สะดวกต่อการพกพา ราคาถูก ประมาณ 200-500 บาท เหมาะสำหรับนักถ่ายภาพสมัครเล่น ที่ไม่ต้องการความละเอียด หรือความคมชัดของภาพเท่าใดนัก หรือมีงบประมาณจำกัด

2 กล้องฟิล์มกลัก ขนาด 126

หรือที่นิยมเรียกว่า กล้องอินสตาเมติก เป็นกล้องขนาดเล็กใช้ง่าย ตัวกล้องทำด้วยพลาสติกแข็ง หรือไฟเบอร์ ช่องมองภาพแยกคนละช่องกับเลนส์ เลนส์ทีทางยาวโฟกัสคงที่ (บางรุ่นสามารถปรับได้ 3 ระยะ คือ ใกล้ กลาง ไกล โดยใช้สัญลักษณ์แทน) เลนส์ทำจากเจลาติน การใช้งานเช่นเดียวกับกล้อง 110 Pocket แต่จะใช้ฟิล์มขนาดใหญ่กว่า คือ ขนาด 26x 26 มม. ภาพที่ได้มีความคมชัดพอสมควร แต่ไม่เหมาะสำหรับขยายใหญ่กว่าโปสการ์ด เหมาะสำหรับถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ทัศนาจร สะดวกต่อการพกพา ราคาถูก เหมาะสำหรับนักถ่ายภาพสมัครเล่น ที่ไม่จริงจังกับการถ่ายภาพมากนัก

3 กล้อง 35 มม. ชนิดคอมแพค

เป็นกล้องขนาดเล็กที่คุณภาพดี ตัวกล้องทำจากพลาสติกแข็ง หรือไฟเบอร์บางยี่ห้อทำจากโลหะ มีน้ำหนักเบา ช่องมองภาพแยกจากเลนส์ เลนส์ทำจากแก้วหรือเจลาติน บางรุ่นสามารถเปลี่ยนทางยาวโฟกัส หรือ ซูม ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นเลนส์มุมกว้าง 28 - 35 มม. ไม่สามารถปรับระยะชัดด้วยมือหรือเปลี่ยนรูรับแสงได้ บางรุ่นมีไฟแวบหรือไฟแฟลชในตัว ใช้งานง่าย เพียงมองผ่านช่องมองภาพแล้วกดเท่านั้น

กล้องชนิดนี้ได้รับความนิยมมากในกลุ่มนักถ่ายภาพสมัครเล่น จนถึงนักถ่ายภาพอาชีพ ราคาค่อนข้างสูง แล้วแต่รุ่น ยี่ห้อ และคุณสมบัติของกล้อง ซึ่งมีหลายรุ่นหลายราคา ตั้งแต่พันกว่าบาทถึงหลายหมื่นบาท ใช้ฟิล์มขนาด 35 มม. เลื่อนฟิล์มอัตโนมัติ เหมาะสำหรับภาพที่ต้องการความคมชัดพอสมควร ขยายภาพขนาดใหญ่ได้ดี

4 กล้อง 35 มม. ชนิดสะท้อนเลนส์เดี่ยว

หรือที่เรียกว่า กล้อง 35 มม. SLR (Single Lens Reflex Camera) เป็นกล้องที่นิยมใช้มากที่สุด ใช้ฟิล์มขนาด 35 มม. เช่นเดียวกัน ตัวกล้องทำด้วยโลหะ หรือไฟเบอร์ มีความแข็งแรงกว่า3 ชนิดแรก มีระบบมองภาพผ่านเลนส์โดยตรง เมื่อภาพสะท้อนผ่านเลนส์ จะมีกระจก 45 องศา เป็นตัวสะท้อนภาพขึ้นสู่ปริซึม 5 เหลี่ยม และสะท้อนสู่ช่องมองภาพจึงให้ความแม่นยำในการถ่ายภาพได้ดี สามารถปรับระยะชัด และรูรับแสงด้วยมือ สามารถปรับความเร็วชัตเตอร์ได้หลายระดับ เช่น 1/2 1/4 1/8 1/15 1/30 1/60 ไปจนถึง 1/8000 วินาที สามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ มีเครื่องวัดแสงในตัว ถ่ายภาพได้คมชัดดีมาก อีกทั้งยังสามารถกำหนดรูรับแสงขนาดต่าง ๆ ได้ตามความเหมาะสม มีเครื่องวัดแสงในตัว มีกลไกในการตั้งเวลาถ่ายภาพด้วยตนเอง สามารถต่อพ่วงไฟแวบ หรือไฟแฟลชได้ บางรุ่นมีไฟแวบในตัว ดังนั้นกล้องชนิดนี้จึงเป็นกล้องที่มีผู้นิยมใช้มากที่สุด เพราะให้ความคมชัด และรายละเอียดของภาพอยู่ในเกณฑ์ดี สำหรับผู้ที่ศึกษาในเรื่องการถ่ายภาพเพื่อให้เกิดทักษะและความชำนาญ ควรใช้กล้องชนิดนี้ และหนังสือเล่มนี้จะกล่าวถึงการใช้กล้องชนิดนี้เป็นหลัก

ปัจจุบันกล้องชนิดนี้ได้พัฒนาไปมาก เช่น มีการปรับระยะชัดโดยอัตโนมัติ หรือ Auto Focus หรือ AF มีระบบถ่ายอัตโนมัติ ซึ่งกล้องจะปรับสภาพเองตามสภาพของแสงและการเคลื่อนไหวของวัตถุ แต่กล้องชนิดนี้ราคาค่อนข้างแพงกว่าเมื่อเทียบกับแบบกลไก

5 กล้อง 120. ชนิดสะท้อนเลนส์เดี่ยว

เป็นกล้องที่นิยมใช้ในกลุ่มนักถ่ายภาพมืออาชีพ มีคุณสมบัติและลักษณะคล้ายกับกล้อง 35มม สะท้อนเลนส์เดี่ยว ตัวกล้องใหญ่และน้ำหนักมากกว่า ใช้ฟิล์มขนาด 120 มีขนาด 4.5x6 ซม.สามารถถอด เปลี่ยนเลนส์ ปรับระยะชัดด้วยมือ ปรับรูรับแสง และความเร็วชัตเตอร์ได้ และมีเครื่องวัดแสงในตัว ด้านหลังของกล้อง เรียกว่า แมกกาซีน สำหรับบรรจุฟิล์มถ่ายภาพสามารถถอดเปลี่ยนได้ ใช้ฟิล์มได้หลายขนาด เช่น 6x6 ซม. 6x7ซม. 6x9 ซม. หรือบันทึกภาพแบบโพราลอยด์ได้ ภาพที่ได้ที่สามารถเก็บรายละเอียดของภาพได้มากกว่า กล้อง 35 มม. สามารถนำไปขยายใหญ่ได้ เหมาะสำหรับการบันทึกภาพในสตูดิโอ (Studio) ถ่ายภาพเพื่อทำต้นฉบับสิ่งพิมพ์ เช่น ภาพโปสเตอร์ วารสาร นิตยสารต่าง ๆ ที่ต้องการภาพที่มีความคมชัดและสีสันถูกต้องเหมือนจริงมากที่สุด

6 กล้อง 120. ชนิดสะท้อนเลนส์คู่

เป็นกล้องที่มีเลนส์อยู่ 2 เลนส์แยกจากกัน เลนส์ตัวบนทำหน้าที่มองภาพโดยสะท้อนผ่านกระจก 45 องศา ด้านหลังเลนส์ และส่งภาพขึ้นไปบนกระจกฝ้าเนื้อละเอียดเป็นตัวรับภาพ ซึ่งติดตั้งอยู่ด้านบนสุดของกล้อง บนกระจกมีแว่นขยายเพื่อให้ปรับระยะชัดได้อย่างเที่ยงตรง

ส่วนเลนส์ตัวล่างทำหน้าที่รับภาพ ผ่านเลนส์ ผ่านม่านชัตเตอร์ แล้วให้แสงมากระทบกับฟิล์มเพื่อการบันทึกภาพ เป็นกล้องที่แข็งแรง ทนทาน นิยมใช้มากในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปัจจุบัน นิยมใช้ถ่ายภาพบุคคล ภาพทิวทัศน์ หรือภาพทั่ว ๆ ไป ใช้ฟิล์มม้วน ขนาด 2 นิ้ว หรือ 120 ถ่ายภาพได้เป็นภาพสี่เหลี่ยมจตุรัส ขนาด 6x6 ซม. และมีแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 4.5 x 6 ซม. บางรุ่นสามารถใช้ฟิล์มแผ่น ขนาด 6x6 ซม. หรือใช้ฟิล์ม 35 มม. ได้อีกด้วย

แต่ปัญหาที่พบสำหรับกล้องชนิดนี้ก็คือ เมื่อมีการถ่ายภาพระยะใกล้ (Close Up) จะมีปัญหาคือภาพที่มองเห็นจากเลนส์ตัวบน กับเลนส์ตัวล่างในการบันทึกภาพจะเกิดความคลาดเคลื่อน อาจทำให้ได้ภาพที่ไม่ตรงกับที่มองเห็นผ่านจอรับภาพ ดังนั้นการใช้กล้องชนิดนี้ควรให้ความระมัดระวังด้วย

7 กล้องวิว (View Camera)

เป็นกล้องถ่ายภาพขนาดใหญ่ นิยมใช้สำหรับการถ่ายภาพใน สตูดิโอ (Studio) ใช้ฟิล์มแผ่นได้หลายขนาด เช่น 4x5 นิ้ว 5x7นิ้ว ไปจนถึง 8x10 นิ้ว ปรับระยะชัด หรือปรับโฟกัสด้วยวิธีการยืดหนังหรือผ้าสีดำพับเป็นจีบแบบยืด (Bellow) สามารถปรับมุมก้ม เงย หรือ ซ้าย ขวา ได้พอสมควร มีจอรับภาพเป็นกระจกฝ้าเนื้อละเอียดอยู่ด้านหลังสำหรับมองภาพ

การถ่ายภาพด้วยกล้องชนิดนี้จึงเป็นภาพที่ต้องการความละเอียด และความคมชัดสูง สามารถขยายใหญ่ได้ดี จึงเหมาะสำหรับการถ่ายภาพบุคคล ภาพโฆษณา ภาพทิวทัศน์ เพื่อใช้สำหรับเป็นต้นฉบับในการพิมพ์ภาพขนาดใหญ่ ต้นทุนในการถ่ายภาพแต่ละภาพสูงมาก ต้องอาศัยความชำนาญของนักถ่ายภาพเป็นอย่างมาก ปัจจุบันจะมีใช้กันมากในสตูดิโอถ่ายภาพต่าง ๆ หรือบริษัทโฆษณา

8 กล้องถ่ายภาพสำเร็จรูป (Instant Camera)

หรือที่นิยมเรียกตามยี่ห้อของกล้องที่ผลิตขึ้นมาเป็นครั้งแรก คือ กล้องโพรารอยด์ (Polaroid) กล้องแบบนี้เป็นระบบการถ่ายภาพแบบไม่ต้องใช้ฟิล์ม ใดยใช้กระดาษอัดภาพผสมน้ำยาเรียบร้อยแล้ว เมื่อบรรจุกระดาษอัดภาพชนิดนี้เข้ากล้องถ่ายภาพแล้วจะดึงกระดาษที่อยู่ด้านหน้าออก เมื่อบันทึกภาพเสร็จ ต้องดึงกระดาษออกทันที ระหว่างที่ดึงภาพจะอาบน้ำยาสร้างภาพที่ติดมาพร้อมกับกระดาษ เมื่อกระดาษแห้งแล้วจะปรากฏภาพขึ้นทันที

กล้องชนิดนี้เหมาะสำหรับการถ่ายภาพที่ต้องการความรวดเร็ว เช่น การถ่ายภาพติดบัตรต่าง ๆ หรือการถ่ายภาพในสถานที่ต่าง ๆ หรือใช้สำหรับถ่ายภาพเพื่อทดสอบแสง และการจัดภาพ สำหรับการถ่ายภาพในสตูดิโอ กล้องบางตัวสามารถถ่ายภาพขนาดเล็กแบ่งเป็น 4 ภาพใน 1 แผ่น ต้นทุนในการถ่ายภาพด้วยกล้องชนิดนี้ค่อนข้างสูง จึงต้องให้ความระมัดระวังในการถ่ายภาพ

ข้อจำกัด คือ ภาพที่ได้เป็นภาพที่ผ่านกระบวนการอัดภาพแบบง่าย ๆ ดังนั้นอาจเก็บไว้ไม่ได้นานภาพจะเปลี่ยนสีและเสื่อมสภาพเร็ว ดังนั้นควรเก็บภาพให้ดีไม่ควรให้ภาพโดนแสงสว่างที่จ้าเป็นเวลานาน

9 กล้องดิจิตอล (Digital Camera)

เมื่อเทคโนโลยีการถ่ายภาพได้พัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง พร้อมกันนั้นเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ก็มีความก้าวหน้าเช่นกัน จึงได้มีผู้คิดค้นกล้องถ่ายภาพที่สามารถใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ ที่เรียกว่า กล้องดิจิตอล (Digital Camera) ที่ถ่ายภาพโดยไม่ต้องใช้ฟิล์ม ไม่ต้องผ่านกระบวนการล้าง อัด ขยายภาพ การบันทึกภาพจะบันทึกในรูปแบบของหน่วยความจำแบบดิจิตอล หรือบันทึกลงในแผ่นดิสก์เก็ต หรือ ซีดีรอม บางรุ่นสามารถบันทึกภาพได้ละเอียดถึง 6 ล้าน Pixel ช่องมองภาพจะเป็นจอภาพแบบ LCD หรือจอคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก สามารถพิมพ์ภาพออกทางเครื่องพิมพ์ (Printer) สามารถผลิตได้ทั้งภาพสี ภาพขาว ดำ สไลด์สี บางรุ่นสามารถบันทึกวิดีทัศน์ (Video) ได้ในตัว และสามารถแสดงผลทางจอภาพ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ตกแต่งและสร้างสรรค์ภาพด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟิก เช่น Adobe PhotoShop สามารถเผยแพร่ภาพทางอินเทอร์เน็ต หรือส่งทาง Email ได้ ปัจจุบันกล้องชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก

10 กล้องถ่ายภาพชนิดพิเศษ

กล้องถ่ายภาพทีได้กล่าวมาทั้ง 9 ชนิดนั้น เป็นกล้องที่พบเห็นและใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ยังมีกล้องชนิดพิเศษ สำหรับใช้งานเฉพาะด้าน เช่น กล้องถ่ายภาพใต้น้ำ (Under water camera) กล้องถ่ายภาพทางการแพทย์ กล้องถ่ายภาพมุมกว้างพิเศษ(Panorama) กล้องนักสืบ (Spy camera)กล้องถ่ายภาพ3มิติกล้องถ่ายภาพแบบหมุน ฯลฯ

~๐ -------------------------------- ๐~